TMILL เผย 9 เดือนปี 66 มีรายได้จากการจำหน่ายที่ 1,430.75 ล้านบาท คว้ากำไรสุทธิ 56.84 ล้านบาท แม้เผชิญความผันผวนต้นทุน และราคาจำหน่ายแป้งสาลีปรับสูงขึ้นมาก พร้อมยึดมั่นสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น บอร์ดไฟเขียวปันผลระหว่างกาล อัตราหุ้นละ 0.08 บาท รับทรัพย์ 23 พ.ย.66
นางแววตา กุลโชตธาดา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน (CFO) บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL โรงงานโม่แป้งสาลีรายใหญ่และมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2566 (สิ้นสุด 30 กันยายน 2566) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1.29 ล้านบาท และมีรายได้จากการจำหน่ายลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 505.23 ล้านบาท โดยลดลง 2.7% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 519.41 ล้านบาท โดยรายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีลดลง 4.2% ส่วนรายได้จากการจำหน่ายรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 1.4% โดยที่ปริมาณจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 7.3% และ 12.4% แต่ราคาจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีเฉลี่ยลดลง 11.2% และ 1.1% ตามลำดับ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2566 ลดลง 9.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจากราคาจำหน่ายแป้งสาลีที่ปรับลดลงถึง 11.2% แต่ต้นทุนปรับเพิ่มขึ้น 0.3% อย่างไรก็ตามในไตรมาส3/66 นี้ บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 75.44% เพิ่มขึ้น 5.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 70.06%
สำหรับงวด 9 เดือนของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายอยู่ที่ 1,430.75 ล้านบาท ลดลง 1.1% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1,446.16 ล้านบาท โดยที่รายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีลดลง 1.9% ส่วนรายได้จากการจำหน่ายรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 0.8% ทั้งนี้ มาจากปริมาณจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีลดลง 4.0% และ 5.6% ถึงแม้ว่าราคาจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 2.0% และ 12.2% ก็ตาม ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง 2.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากราคาจำหน่ายแป้งสาลีเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 2.0% แต่ต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 6.5% ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 56.84 ล้านบาท ลดลง 34.51 ล้านบาท คิดเป็น 37.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ภาวะอุตสาหกรรมของตลาดข้าวสาลีและแป้งสาลีในปีที่ผ่านมา ราคาตลาดข้าวสาลีและแป้งสาลีปรับสูงขึ้นมาก แต่ปัจจุบันราคาตลาดข้าวสาลีเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ปลายไตรมาส 1 ที่ผ่านมา จึงทำให้บางโรงโม่ทำการเร่งระบายสต็อคข้าวเก่าที่ราคาสูงโดยยอมขายราคาขาดทุน และทำให้ลูกค้าหลายรายนำราคาที่ได้นั้นมาต่อรองกับทางบริษัทฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องลดราคาจำหน่ายแป้งให้ลูกค้าเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้ ทั้งที่ราคาตลาดที่ลดลงนั้นยังไม่ได้สะท้อนมาถึงต้นทุนในปัจจุบันนี้ จึงทำให้บางสัญญาต้องยอมขายในราคาที่ขาดทุน ส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงตั้งแต่ไตรมาส 2 และลดลงอย่างมากในไตรมาส 3 นี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีผลการดำเนินงานรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบกับธุรกิจในกลุ่มสินค้าเกษตรด้วยกัน และถึงแม้จะต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงของราคาต้นทุน และราคาจำหน่ายแป้ง จนทำให้ผลประกอบการกำไรลดลงก็ตาม แต่ TMILL ก็ยังคงยึดมั่นในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นด้วยการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ0.08 บาท (แปดสตางค์) รวมจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้น 31,893,124.88 บาท โดยกำหนดการจ่ายเงินปันในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินงานตามกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับการสร้างคุณค่าทางสังคม และสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยผนวกแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เป็นหนึ่งเดียวกับธุรกิจ ตามวิสัยทัศน์อย่างต่อเนื่อง โดยมีการดำเนินงานตามกลยุทธ์ในไตรมาส 3 ดังนี้
กลยุทธ์ที่ 1 การกำกับดูแลกิจการที่ดีให้เติบโตอย่างยั่งยืน ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้รับการประกาศว่าเป็นบริษัทที่ติดอันดับบริษัทจ่ายปันผลดีเด่นต่อเนื่องติดต่อกัน 10 ปีซ้อน ซึ่ง TMILL ติดอันดับที่ 11 จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังได้รับการประเมินจากโครงการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2566 (AGM Checklist) ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย โดยในปีนี้ TMILL ได้รับคะแนนสูงสุด 100 คะแนนเต็ม หรือ “ระดับดีเยี่ยม” ซึ่งสะท้อนให้เห็นความตั้งใจของบริษัทฯ ที่ดำเนินธุรกิจโดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความโปร่งใส ปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างเท่าเทียมกัน และส่งเสริมให้ผู้ถือหุ้นได้มีส่วนร่วมในการบริหารงาน และ TMILL จะรักษาและพัฒนาประสิทธิภาพการจัดประชุมผู้ถือหุ้นให้อยู่ในมาตรฐานที่ดียิ่งขึ้นในทุกปี ส่วนผลการประเมินบริษัทจดทะเบียนที่มีการกำกับดูแลกิจการ บริษัทฯ ได้รับคะแนนระดับ 4 ดาว "ดีมาก" จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ตอกย้ำศักยภาพการดำเนินงานของ บริษัทฯ ที่มุ่งดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลและเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ากิจกรรมพบนักลงทุนสัมพันธ์ในงาน Opportunity Day เพื่อชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัทฯ แก่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักลงทุน และสื่อมวลชน อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสื่อสารข้อมูลฐานะทางการเงินของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีกช่องทางหนึ่ง
กลยุทธ์ที่ 2 ดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของพนักงาน สังคมและชุมชน โดยบริษัทฯ ยังคงมีการฝึกอบรมให้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพให้แก่พนักงาน จำนวน 3 หลักสูตร ได้แก่
•หลักสูตร Internal Audit IQA (การตรวจติดตามภายใน) GHPs/HACCP/ISO22000/FSSC22000 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมระบบคุณภาพต่างๆ ของอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ มาตรฐานGHPs/HACCP/ISO22000/FSSC22000 ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตลอดในห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ผู้ผลิตเบื้องต้นจนถึงผู้บริโภคขั้นสุดท้าย ว่าสามารถป้องกันอันตราย หรือสิ่งปนเปื้อนทางชีวภาพ เคมี และกายภาพของอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมด เข้าร่วมจำนวน 34 คน
•หลักสูตรการจัดการแมลงและสัตว์พาหะในสถานประกอบการ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขอนามัยและความสะอาดซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอาหารที่มีการแข่งขันสูง นับตั้งแต่ขั้นตอนการการผลิต กระบวนการต่าง ๆ ไปจนถึงกระบวนการขายให้แก่ผู้ลูกค้า จำเป็นจะต้องมั่นใจว่ากระบวนการต่างๆเหล่านี้ปราศจากการรบกวนของสัตว์รบกวนที่จะส่งผลกระทบไปถึงลูกค้า บริษัทฯ จึงได้จัดอบรมเพื่อพัฒนาพนักงานผู้ปฏิบัติงานให้เรียนรู้การวางแผนในการควบคุม กำจัดสัตว์พาหะนำโรค ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกขั้นตอน การจัดการกับความเสี่ยงในการพบเชื้อจุลินทรีย์ที่มาจากสัตว์พาหะ เช่น Salmonella spp รวมไปถึงการให้คำแนะนำแก่พนักงานต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น โดยมีพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมด เข้าร่วมจำนวน 36 คน
•หลักสูตรการควบคุมรถโฟล์คลิฟต์อย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยการอบรมโฟล์คลิฟท์ เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายในปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากรถโฟล์คลิฟท์ มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายหรือจัดเรียงสินค้าที่มีน้ำหนักมาก รวมทั้งยังเป็นการป้องกันอันตรายและโรคที่อาจเกิดจากการทำงานให้แก่พนักงาน มีพนักงานที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในการขับรถโฟล์คลิฟต์ เข้าร่วมจำนวน 15 คน
ในด้านการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย ความมั่นคงอาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (Safety, Security, Health and Environment Management System – SSHE MS) ในไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทฯ ยังคงรักษาสถิติการเกิดอุบัติเหตุให้เป็น 0 ได้อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 2,364 วัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ร่วมถวายเทียนพรรษาร่วมกับชุมชนบริเวณโรงงาน ณ วัดปุณหังสนาวาส เพื่อเป็นการสร้างสัมพันธภาพกับชุมชน และทอดผ้าป่าโรงเรียนปุณหังสนาวาส (รร.วัดสำโรงใต้) เพื่อสนับสนุนการจัดหาสื่อการเรียนรู้ และทุนเพื่อจ้างผู้สอน ให้แก่ โรงเรียนปุณหังสนาวาส จำนวน 10,000 บาท
และกลยุทธ์ที่ 3 ดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้ประกาศเข้าร่วมโครงการแยกขยะ “ทิ้ง ทู แทรช” เพื่อให้พนักงานมีความเข้าใจ เล็งเห็นความสำคัญของการแยกขยะและสามารถแยกขยะอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นทาง – ปลายทาง และสร้างความร่วมมือร่วมกันในองค์กรในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยจะเป็นจุดเชื่อมโยงการแยกขยะไปสู่ครัวเรือนของพนักงานและยังดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกตามแผนงานและหาโอกาสจากการพัฒนาเทคโนโลยี เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและมองหาพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่เพื่อนำมาใช้ในพื้นที่ปฏิบัติการ
นางแววตา กล่าวทิ้งท้ายว่า ภายใต้สถานการณ์ของภาวะอุตสาหกรรมของตลาดข้าวสาลีและแป้งสาลีที่ปรับสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยที่เข้ามากระทบผลประกอบการ แต่ก็ถือเป็นบททดสอบที่ท้าท้ายของฝ่ายบริหารของบริษัทฯ ที่จะร่วมกันฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน และมั่นใจว่าจะสามารถฝ่าฟันไปได้ในที่สุดเช่นเคย พร้อมไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ควบคู่กับการกำกับดูแลกิจการที่ดีพร้อมกับการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นดังเช่นที่บริษัทฯ ได้กระทำมาอย่างต่อเนื่อง
16 พฤศจิกายน 2566
ผู้ชม 100 ครั้ง