พอทีมงานตลาดรถดีดี มีโอกาสได้มาร่วมพิสูจน์สมรรถนะ New Mazda CX-8 พอเห็นเส้นทางที่ไปบอกได้เลยว่าสุดยอดมาก เพราะเป็นเส้นทางที่สวยและอยากไป แต่ในอดีตติดปัญหาความไม่สงบทางชายแดนภาคใต้ทำให้ต้องงดกิจกรรมในพื้นที่ดังกล่าวโดยปริยายพอมาถึงวันนี้ทุกอย่างคลี่คลาย ทางมาสด้าจึงได้จัดกิจกรรมขึ้น ทำให้คอลัมน์ ดื่ม กิน เที่ยว อยู่เฉยๆไม่ได้แล้ว ต้องมาแชร์ความคิด ความรู้สึก และสัมผัสลิ้มลองอาหารเลิศรสที่โด่งดังในตำนาน ว่ายังคงรักษาความอร่อยได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งวันนี้เราพาผู้อ่านมาสัมผัสเส้นทางจากอำเภอหาดใหญ่-ปัตตานี –ยะลา-เบตง ว่าสวยงามตามคำล่ำลือเพียงไหน.....
สัมผัสแรกที่ทางมาสด้าจัดเตรียมให้กับเหล่าสมาชิกเป็นอาหารชุดจากเบอร์ เกอร์คิงส์ จากสนามบินดอนเมือง รองท้องในช่วงเวลาเช้าตี5 กว่า แต่ไม่เท่านั้นทางมาสด้าเตรียมอาหารเช้าที่โชว์รูมมาสด้า ชูเกียรติยนต์ หาดใหญ่ ต้อนรับด้วยโจ๊กร้อนๆ แม่เรืองโจ๊กหมูเด้ง ตลาดเกาะเสือ อร่อยหมูสุดๆ ยังมีซาลาเปา ขนมกล่อง และเครื่องดื่มให้ทานอยากเต็มอิ่ม บอกได้เลยว่ามาสด้าจัดเต็มจริงๆ พออิ่มเดินทางด้วยเส้นทางหาดใหญ่-ปัตตานี เพื่อ แวะไปชมมัสยิดกรือเซะ หรือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์ เป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ในจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองปัตตานี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตร สันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัสยิดปิตูกรือบัน ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงของประตูมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบโกธิคของชาวยุโรป และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออกกลาง รูปลักษณะเป็นอาคารก่อสร้างด้วยอิฐปูน เสาทรงกลมเลียนรูปลักษณะแบบเสาโกธิคของยุโรป ช่องประตูหน้าต่างมีทั้งแบบโค้งแหลมและโค้งมนแบบโกธิค โดม และหลังคายังก่อสร้างไม่เสร็จ อิฐที่ใช้ก่อมีรูปลักษณะเป็นอิฐสมัยอยุธยา ตรงฐานมัสยิดมีอิฐรูปแบบคล้ายอิฐสมัยทวารวดีปะปนอยู่บ้าง ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่าศิลปะสวยงามที่อดใจที่จะไม่ถ่ายรูปไม่ได้แล้ว บอกได้เลยว่าสมาชิกมาครั้งนี้ถ่ายรูปกันระนาว และข้างมัสยิดนี้ก็ยังเป็นฮวงซุ้ยของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวด้วย หลายคนสงสัยว่ามีฮวงซุ้ยได้อย่างไร มาคลายปมที่สงสัยกับสถานที่สองกันครับ
สถานที่สองเราจะพาผู้อ่านมาเที่ยวชมศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกันครับ ซึ่งบ้างคนอาจจะรู้มาบ้างหรือบ้างคนอาจจะไม่รู้มาทราบประวัติความเป็นมาของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกันครับ ตามตำนานเล่าว่าลิ้มกอเหนี่ยวเป็นสาวชาวจีนจากเมืองฮกเกี้ยน ซึ่งเกิดในช่วงสี่ถึงห้าร้อยปีมาแล้วนางเดินทางลงเรือสำเภามายังเมืองปัตตานี เพื่อตามพี่ชายชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยมให้กลับไปหามารดาที่ชราภาพที่บ้านเกิด แต่ได้พบความจริงว่าพี่ชายของตนได้แต่งงานกับธิดาพระยาตานีแล้วเข้ารับราชการในจวนเจ้าเมือง และได้เปลื่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม จึงไม่สามารถกลับไปยังเมืองจีนพร้อมนางได้ ลิ้มกอเหนี่ยวจึงได้ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ ดังสัจวาจาที่กล่าวไว้กับมารดาว่า “หากตามพี่ชายกลับไปหามารดาไม่ได้จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป” ลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นพี่ชายจึงได้ฝังศพของนางไว้ที่ฮวงซุ้ยที่หมู่บ้านกรือเซะนอกเมืองปัตตานี กล่าวขานกันว่าดวงวิญญาณของนางได้แสดงอิทธิฤทธิ์เป็นที่เลื่องลือในหมู่ชาวบ้านทั่วไป พอมีผู้มาขอพรให้โชคลาภก็ได้ผลหรือแม้แต่การค้าขายที่ซบเซาหรือขาดทุนก็กลับรุ่งเรืองขึ้นทำให้เกิดความนับถือศรัทธาอย่างมาก ชาวปัตตานีจึงได้นำต้นไม้ที่ลิ้มกอเหนี่ยว ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตาโชคลาภ ค้าขาย ซึ่งเป็นที่นิยมมากราบไหว้ของพรเพื่อเป็นศิริมงคลกับชีวิต ซึ่งสถานที่สองห่างกันประมาณ 7-10 กิโลเมตร อยู่ในตัวเมืองปัตตานี เป็นศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว พอทราบประวัติกันแล้ว คราวนี้ผมจะพาผู้อ่านเข้ามาสัมผัสภายในกันครับ
เมื่อเข้าไปศาลเจ้าจะเห็นรูปปั้นของเจ้าแม่ประทับอยู่ตรงกลาง และมีจุดไหว้บูชาภายในประมาณ 12 จุด ซึ่งแต่ละจุดมีเทพแต่ละองค์ประทับอยู่โดยมีโต๊ะกำกับแต่ละที่ไว้ครับ ก่อนอื่นต้องนำดอกไม้และธูปที่ศาลเจ้าจัดเตรียมจำหน่ายชุดเล็ก 50 บาท ชุดใหญ่ 70 บาท แล้วแต่ความศรัทธาขอแต่ละท่านเลยครับ แต่ขอบอกนะครับว่าวันที่ไปคนยังไม่เยอะเท่าไร แต่กลิ่นธูปอบอวลควันก็เยอะ ฝากมายังผู้อ่านที่แพ้กลิ่นควันวางแผนในจุดให้ดีครับ พอถ่ายรูปเพลินๆ ท้องเจ้ากรรมเริ่มส่งเสียงอีกแล้ว พอเจ้าหน้าที่ทางมาสด้าประกาศไปจุดที่สามต่อ ไปไม่ต้องบอกเลยว่าจุดนี้เป็นอะไร เพราะเมื่อมาเที่ยวชมสถานที่ประวัติศาสตร์ แล้ว คราวนี้ภาระของเราต้องไปรับประทานแล้ว ล่ะ พอขับรถจากศาลเจ้าไม่ไกลนักก็ถึงภัตตาคาร ลอดดอน ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปัตตานีครับ
พอเข้าไปในตัวภัตตาคารก็ตบแต่งสไตล์จีนผสมโมเดิร์นนิดหนึ่งครับ บอกได้เลยว่าอาหารที่นี้รสชาดจะเป็นกลางๆ สไตล์ จีนแต่คงความอร่อยมีกลิ่นอายรสชาดจีนๆ ผสมอาหารพื้นบ้าน มีอาหารมาเสริ์ฟอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ต้องบอกว่ามีเมนูอะไรบ้างเพราะทุกคนหิวจนตาลาย หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้วมารอเครื่องดื่มเย็นๆ หน้าภัตตาคารเพื่อคลายร้อน หลังจากยืดเส้นยืดสายพอควรเรามุ่งหน้าไปเที่ยวต่อกันเลย....
เรามุ่งหน้าไปสู่สถานที่เที่ยวต่อไปเราแวะ อุโมงค์ปิยะมิตร ไฮไลท์ของที่นี่จะมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปิยะมิตร ซึ่งจะรวบรวมของเก่าที่มีการใช้งานในสมัยนั้นมาสะสมไว้มากมายครับ อีกหนึ่งไฮไลท์ก็คืออุโมงค์ที่ถูกขุดเข้าไปในภูเขา อุโมงค์นี้ขุดเมื่อปี 2519 โดยใช้กำลังคน 45-50 คน ใช้เวลาในการขุดเพียง 3 เดือน มีทางเข้าออกอุโมงค์ 9 ทาง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 6 ทางซึ่งจะเชื่อมต่อกันหมด อุโมงค์มีความกว้างประมาณ 50-60 ฟุต ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในสามารถจุคนได้เกือบ 200 คน ภายในอุโมงค์ก็จะทำเป็นห้องเล็กๆ แต่ละห้องก็จะมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไป เช่น ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง สถานีวิทยุ ภายในอุโมงค์อากาศเย็นสบาย มีการติดไฟให้แสงสว่างตลอดเส้นทางไฮไลท์สุดท้ายเป็นต้นไทรยักษ์ หรือชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่า ต้นไม้พันปี วัดโดยรอบได้ 60.8 เมตร สูง 40 เมตร ต้นไทรยักษ์นี้ ถูกจัดให้เป็นรุกขมรดกของแผ่นดินใต้ร่มพระบารมีบอกตรงๆจุดต้นไทรยักษ์เป็นไฮไลท์มากๆ เพราะถ่ายรูปแล้วอลังการงานสร้าง จริงๆ ถ้าใครมาเที่ยวแล้วไม่มาถ่ายรูปคู่ด้วย ถือว่ามาไม่ถึง....นะครับ ต่อจากนั้นมาแวะชายแดนไทย-มาเลเซีย แต่เรามาถึงเย็นมากๆแล้ว เราไม่ได้เข้าดิวตี้ฟรี แต่เราก็ไม่แคร์วิ่งถ่ายรูปตามป้ายๆต่างที่บ่งบอกว่าถึงชายแดนแล้ว บอกตรงๆ นายแบบ นางแบบเพียบ
หลังจากถ่ายรูปหนำใจแล้วเรามุ่งสู่ โรงแรมแกร์นดแมนดาริน Grand Mandarin Betong ข้างโรงแรมจะเป็นอุโมงค์ทางลอดมีสัญลักษณ์ของเมืองเบตง พอเห็นแล้วสวยน่าถ่ายรูป แต่ทีมงานมาสด้าบอกว่าเช็คอินเสร็จเตรียมไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารต้าเหยิน เดินทางจากโรงแรม 500 เมตรก็ถึงร้าน เมนูอาหารอาทิ เคาหยก,ผัดถั่วฝักยาว,กบภูเขาทอด,ไก่เบตง เมนูซิกเนเจอร์ ไก่พันธุ์เนื้อพื้นเมือง เนื้อหนุ่ม หนังกรุบเด้ง ราดน้ำซีอิ๋วปรุงรสสูตรเฉพาะ,หมี่เหลืองผัด,ผัดน้ำมันหอย อาหารที่มาเสริฟอร่อยทุกจาน โดยเฉพาะไก่เบตงจานเดียวไม่พอจริงๆ ต้องสั่งเพิ่มอีกจาน อร่อยใช้ได้ หลังจากอิ่มแล้ว เราก็มาเดินเล่นชมตัวเมืองเบตง และถ่ายรูปคู่กับตู้ไปรษณีย์ยักษ์ หอนาฬิกา และอุโมงค์เบตงมงคลฤทธ์อีกมุมที่ทุกคนไม่ควรพลาด หลังจากเสร็จภารกิจ แยกย้ายไปพักผ่อน บ้างคนไปฟังเพลงและดื่ม แต่ตอนนี้ทีมงานขอลาไปพักผ่อนก่อนพรุ่งนี้เจอกันครับ
อรุณสวัสดิ์สำหรับวันใหม่ ทีมงานขอสำรวจอาหารพื้นเมืองมีหลายอย่างที่ไม่รู้จัก แต่ก็แปลกตาดี แถมอร่อยอีกด้วย พอทานอาหารเช้าเสร็จเราก็มุ่งหน้าไปชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง SKY Walk ได้บรรยากาศเหมือนอยู่เมืองเหนือจริง ๆ สวยงามยิ่งสูงยิ่งสวย บอกได้เลยว่าอากาศบริสุทธิ์ถ้ามีที่เก็บอากาศได้จะกักตุนไว้ใช้ในเมืองให้ดู เสร็จจากจุดนี้ไปถ่ายประตูเมืองเข้าสู่เบตง และป้าย OK BETONG หลังจากเสร็จภารกิจนี้พวกเรามุ่งสู่วัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี แวะนมัสการหลวงปู่ทวด วัดราษฎร์บูรณะ หรือ วัดช้างให้ ตั้งอยู่ที่ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ตามตำนานกล่าวว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี ต้องการหาชัยภูมิสำหรับสร้างเมืองใหม่ให้กับน้องสาว จึงได้เสี่ยงอธิษฐานปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมืองและไพร่พลเดินติดตามไป จนมาถึงวันหนึ่ง ช้างได้หยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องขึ้นสามครั้ง พระยาแก้มดำจึงได้ถือเป็นนิมิตที่ดี จึงใช้บริเวณนั้นสร้างเมือง แต่น้องสาวไม่ชอบ พระยาแก้มดำจึงให้สร้างวัด ณ บริเวณลังกา หรือ สมเด็จพะโคะ หรือ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ท่านได้เดินธุดงค์ไปมาระหว่างเมืองไทรบุรีกับวัดช้างให้ และได้สั่งลูกศิษย์ไว้ว่าถ้าท่านมรณะภาพขอให้นำศพไปทำการณาปนกิจ ณ วัดช้างให้ ซึ่งเมื่อท่านมรณภาพที่เมืองไทรบุรี ลูกศิษย์ก็ได้นำศพท่านมาทำการณาปนกิจที่วัดช้างให้ อัฐของท่านส่วนหนึ่งฝังไว้ที่วัดช้างให้ อีกส่วนหนึ่งนำกลับไปเมืองไทรบุรี ต่อมาได้สร้างสถูปบรรจุอัฐของท่านไว้ที่วัด แต่ที่อดไม่ได้คือการเช่าเหรียญของหลวงปู่ทวดไปฝากญาติมิตรสหายทั้งหลายหรือแม้แต่เสี่ยงโชคล็อตเตอรี่ หลังจากเสร็จภาระกิจเรียบร้อยแล้วทีมงานมาสด้าพาทานร้านอาหารบ้านๆ ไม่ห่างจากวัดเท่าไร ดูชื่อแล้วก็เก๋ไก๋ดี ร้านอาหารสี่กั๊ก รสชาดอาหารอร่อย จัดจ้านถึงพริกถึงขิง บอกตรงๆว่าทีมงานหาร้านได้เก่งๆจริง แม้แต่อยู่ห่างไกลจากถนนใหญ่ก็สรรหามาให้ทาน แต่ยอมรับว่าถูกปากในรสชาดอาหารที่มาเสริฟ์อาทิ น้ำพริกกะปิ ผัดสะตอกะปิ และอาหารทางปักษ์ใต้อีกหลายเมนู ทุกเมนุเลือกสรรให้คณะพิสูจน์สมรรถนะ New Mazda CX-8 ได้ทานอิ่มจนจุก เพราะมาสด้าสั่งเมนูหลากหลายมากมายจริงๆ กินเกือบแทบไม่หมด ถ้ามีโอกาสจะมาซ้ำอีกครั้ง เพราะเมนูรายการอาหารอีกหลายเมนูต้องมาพิสูจน์ หลังจากทานจนอิ่มเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับโชว์รูมมาสด้า ชูเกียรติ์ยนต์ หาดใหญ่เพื่อเตรียมตัวเช็คอินตั๋วโดยสารของสายการบินเอเชีย งานนี้ต้องขอบคุณทางมาสด้าที่ตั้งใจหาสถานที่ทดสอบสมรรถนะของรถมาสด้า CX-8 ได้อย่างดีเยื่ยม ได้ทั้งการทดสอบ เส้นทางสวยงาม ศึกษาสถานที่ ประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยว ครบครันทุกแง่มุม ที่มอบให้ตลอดทั้ง 2 วันได้เห็นความตั้งใจของทีมงานมาสด้าที่ให้อย่างเต็มที่กับทริปนี้จริงๆ ทริบนี้ กิน ดื่ม เที่ยว ต้องขอลาก่อน ถ้ามีทริปดีๆ กับเส้นทางใหม่ๆจะกลับมารายงานอีกครั้งครับผม
ขอขอบคุณทางทีมงานมาสด้าได้เอื้อเฟื้อรถทดสอบ New Mazda CX-8 มา ณ.ที่นี้ด้วยครับ
17 พฤศจิกายน 2565
ผู้ชม 220 ครั้ง